Green AI คืออะไร? ตอนนี้เราเข้าสู่ยุคของ AI อย่างเต็มตัวแล้ว แต่การใช้ AI อาจส่งผลไปถึงภาวะโลกเดือด และปัญหาสิ่งแวดล้อมจริงหรือไม่?
รู้ไหม? AI ทำให้โลกร้อนขึ้น! Green AI คืออะไร? จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่?
AI ทำให้โลกร้อน?
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจการทำงานของ AI ส่วนใหญ่กันก่อน Artificial Intelligence (AI) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ คือการทำให้คอมพิวเตอร์ที่ฉลาดเหมือมนุษย์ ซึ่งความฉลาดนี้ก็จะได้มาจากการเรียนรู้ ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันกับการเรียนรู้ของมนุษย์ ซึ่งกระบวนการนี้จะเรียกว่าการ “เทรน AI” เป็นการนำข้อมูลจำนวนมากมาให้ AI เรียนรู้ แล้วก็สร้างเป็นโมเดล AI ออกมา เพื่อนำไปใช้งานต่อ โมเดลนี้ก็ทำหน้าที่เหมือนกับสมองคน ซึ่งตอนที่เทรน AI นี้คอมพิวเตอร์จะต้องคำนวนซํ้าๆ หลายๆรอบ ทำให้ใช้เวลาและใช้ทรัพยากรการประมวลผลจำนวนมาก เท่ากับว่าต้องใช้ไฟฟ้ามากตามไปด้วย รวมถึงน้ำสำหรับระบบทำความเย็นใน Data Center สำหรับการฝึกโมเดล แล้วยิ่งโมเดล AI มีขนาดใหญ่มากๆ ซับซ้อนมากๆ เช่น GPT-3, GPT-4 ก็จะยิ่งใช้ไฟฟ้าเยอะตามไปด้วย
ส่วนการใช้งาน AI ผู้มใช้ก็ต้องเชื่อมต่อเข้ามายัง Data Center นั้นหมายความว่ายิ่งใช้ AI เยอะ Data Center ก็จะยิ่งทำงานเยอะ และส่งผลให้ใช้พลังงานเยอะตามไปด้วย นี้แหละคือเหตุผลที่บอกว่า การใช้ AI ทำให้โลกร้อนขึ้นจริงๆ
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นของจาก Data Center และ AI
ซึ่งเรื่องนี้ Google ก็ได้ออกมาบอกเองว่า มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทเพิ่มขึ้น 48% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยสาเหตุหลักมาจาก Data Center และผลิตภัณฑ์ AI และเรื่องนี้ก็เป็นอุปสรรคสำคัญของการมุ่งสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2023 โดยในรายงานด้านสิ่งแวดล้อมประจำปี 2023 บอกว่า Google มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 14.3 ล้านเมตตริกตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2022 ถึง 13% ซึ่งไม่ใช่แค่ Google เท่านั้นที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นด้วยเหตุผลเรื่อง AI
สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือ International Energy Agency (IEA) ได้ประเมินว่า การใช้พลังงานไฟฟ้าของ Data Center ทั่วโลก อาจเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้านี้ จากประมาณ 460 TWh ในปี 2022 เป็น 1,000 TWh ในปี 2026 ซึ่งปริมาณดังกล่าวเทียบเท่ากับปริมาณไฟฟ้าที่ประเทศญี่ปุ่นใช้ทั้งประเทศ
และบริษัทวิจัย SemiAnalysis ก็ได้ประเมินด้วยว่าภายในปี 2030 AI จะทำให้ Data Center ใช้พลังงานไฟฟ้ามากถึง 4.5% ของการผลิตพลังงานไฟฟ้าทั่วโลก
ทางฝั่ง Microsoft ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน เพราะ AI ของ Microsoft ก็ทำให้การใช้พลังงานของ Data Center เพิ่มขึ้นด้วยเหมือนกัน โดย Microsoft ได้ยอมรับว่าการใช้พลังงานของ Data Center เซ็นเตอร์เยอะมากจนส่งผลกระทบต่อเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่า จะเป็นบริษัทปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2030
การใช้ Search Engine และ AI
แต่หลายคนอาจจะแย้งว่า ปกติเราก็ใช้ Google กันอยู่แล้ว ซึ่งก็จะใช้ Data Center เช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ IEA ก็เคยประเมินเอาไว้ว่าการค้นหาด้วย Search Engine ทั่วไปจะใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยที่ 0.3 วัตต์-ชั่วโมง ในขณะที่การสนทนากับ AI เช่น ChatGPT จะใช้พลังงานประมาณ 2.9 วัตต์-ชั่วโมง หรือมากกว่า 9.67 เท่า นอกจากนี้ระบบ AI ของ Google ยังอาจใช้พลังงานไฟฟ้าในแต่ละปีมากถึงประมาณ 1 ใน 6 ของกำลังการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทยเลยก็ได้
On-Device AI ทำให้โลกร้อน
แต่ AI บางตัวเป็น On-Device AI ที่ทำงานบนคอมหรือโทรศัพท์มือถือ ไม่ได้รันบน Data Center ถ้าอย่างนั้น On Device AI ก็น่าจะไม่ทำให้โลกร้อน จริงหรือไม่?
คำตอบคือ On-Device AI ก็มีส่วนทำให้โลกร้อนขึ้นเช่นกัน เพราะถึงแม้ On Device AI จะไม่ได้ใช้พลังงานเยอะแบบ AI ตัวใหญ่ที่รันบน Data Center แต่ว่าตอนเทรน AI ก็ต้องทำบน Data Center และใช้พลังงานมหาศาลอยู่ดี
การใช้นํ้ามหาศาลของ AI
AI ไม่ได้สร้างปัญหาด้านการใช้พลังงานเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาเรื่องการใช้นํ้าด้วย เพราะ AI ต้องการนํ้าเยอะมาก นั้นก็เพราะ Data Center ที่ใช้ในการเทรนและใช้งาน AI ต้องใช้น้ำปริมาณมหาศาลเพื่อระบายความร้อน
จากรายงานของ OpenAI บอกว่าโมเดลภาษา GPT-4 ต้องใช้น้ำ 5.19 ลิตรในการเขียนอีเมลความยาว 100 คำ ซึ่งเป็นไปตามรายงานของ Washington Post ที่ร่วมมือกับ University of California, Riverside ได้ทำการวิจัยในเรื่องนี้และรายงานว่า ถ้า ChatGPT ส่งอีเมลออกไปหนึ่งฉบับ ทุกสัปดาห์เป็นเวลาหนึ่งปี ChatGPT จะใช้น้ำมากถึง 27 ลิตร นั่นเท่ากับว่า 1 ใน 10 ของผู้ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ (ประมาณ 16 ล้านคน) ขอให้ ChatGPT เขียนอีเมล 1 ฉบับต่อสัปดาห์ก็จะต้องใช้น้ำมากกว่า 435 ล้านลิตร
รายงานความยั่งยืนของ Microsoft ได้บอกว่าปริมาณการใช้น้ำทั่วโลกเพิ่มขึ้น 34% ระหว่างปี 2021 ถึง 2022 ในช่วงเวลาเดียวกัน และศูนย์ข้อมูลของ Microsoft ใช้น้ำถึง 700,000 ลิตรในการเทรนเอไอ GPT-3 และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ขณะที่ Google ก็มีรายงานว่ามีการใช้น้ำของ Data Center เพิ่มขึ้น 20% ซึ่งปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจนี้เกิดจาก AI และในปี 2022 รายงานของ Google ได้บอกว่ามีการใช้น้ำมากกว่า 21.1 ล้านลิตร
นักวิจัยจาก University of California, Riverside ได้ออกความเห็นว่า ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงจุดที่ AI ได้แย่งน้ำธรรมชาติไปใช้จนหมด แต่ก็ตัองจับตา เพราะปริมาณนํ้าที่ AI ต้องการใช้เพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล ความต้องการ AI ทั่วโลกอาจทำให้ศูนย์ข้อมูลต้องใช้น้ำจืด 4.1 ล้านล้านถึง 6.4 ล้านล้านลิตรภายในปี 2027
Green AI
Green AI เป็นแนวคิดที่ผสมผสานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ากับความยั่งยืน ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น Green by AI และ Green in AI
- Green by AI เน้นการใช้ AI มาเป็นเครื่องมือเพื่อไปช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของป่าไม้, การใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตพลังงานหมุนเวียน และใช้ AI ออกแบบวัสดุใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- Green in AI เน้นไปที่การลดผลกระทบของกระบวนการสร้างและการใช้ AI ต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การลดใช้พลังงานในตอนที่เทรนโมเดล หรือแม้แต่ตอนที่ใช้งาน AI, การออกแบบอัลกอริทึมที่ใช้พลังงานน้อยลง หรือการออกแบบ Data Center แบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานที่ดีกว่าเดิม
ตัวอย่างของ Green in AI
4M แนวทางการลดการใช้พลังงาน และการปล่อยคาร์บอนจาก Machine learning
Google ได้แนะนำแนวทางการลดการใช้พลังงาน และการปล่อยคาร์บอนจาก Machine learning เอาไว้ โดยใช้ชื่อว่า 4M
- Model คือการเลือกสร้างโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะสามารถลดการคำนวณลงได้ 3 – 10 เท่า
- Machine คือต้องปรับเครื่องที่ใช้ประมวลผล AI ให้เหมาะสมสำหรับการเทรนโมเดล ส่วนนี้จะช่วยให้ลดการใช้พลังงานได้ 2–5 เท่า
- Mechanization คือการประมวลผลบนคลาวด์แบบใหม่ของ Google แทนการประมวลผลบนเครื่อง ซึ่งจะลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยมลพิษได้ 1.4–2 เท่า
- Map Optimization ผู้เทรน AI สามารถเลือกคลาวด์ที่ใช้พลังงานสะอาดได้ ทำให้ช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ 5-10 เท่า
ซึ่งแผน 4M นี้ก็ทำให้ Google ลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนลง 747 เท่า ในช่วงปี 2017-2021 เลยทีเดียววว!
โครงการ carbon-free energy
โครงการ Carbon-Free Energy (CFE) เป็นความพยายามของ Google ที่จะเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานของ Data Center ให้เป็นพลังงานสะอาด เช่น พลังงานจากโซล่าเซลล์ และกังหันลม โดยประกอบด้วยโปรเจคย่อยๆ หลายโปรเจคเช่น
- การออกแบบเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้พลังงานน้อยกว่า Data center ขององค์กรทั่วไปประมาณ 1.8 เท่า และถ้าเทียบกับ Data Center รุ่นเก่าของ Google เองก็จะใช้พลังงานน้อยลงถึง 4 เท่า
- การซื้อพลังงานจากโซล่าเซลล์ในหลายพื้นที่ ซึ่งโปรเจคนี้ของ Google ก็ประสบความสำเร็จมากในทวีปอเมริกาเหนือ และยุโรป เพราะในหลายพื้นที่ใช้พลังงานสะอาดเกือบจะ 100%
นอกจากนี้ก็ยังมีการนำจากความร้อนที่ Data Center ปล่อยออกมาไปใช้ประโยชน์ เพื่อลดการใช้พลังงานด้วย อย่างเช่น โครงการที่ Google ได้ทุ่มเงิน 1,000 ล้านยูโร เพื่อขยาย Data Center ในฟินแลนด์ ซึ่งจะรวมถึงแผนการนำความร้อนจาก Data Center ไปใช้เพื่อให้ความอบอุ่นแก่บ้าน โรงเรียน และอาคารสาธารณะในบริเวณใกล้เคียง
ตัวอย่างการแก้ปัญหาการใช่นํ้าใน AI
Microsoft กำลังเปลี่ยนระบบระบายความร้อนของ Data Center บางแห่งเช่นในแอริโซนาให้เป็นแบบที่ใช้น้ำน้อยลงหรือไม่ใช้เลย แล้วใช้พัดลมขนาดใหญ่ยักษ์แทน ขณะที่ Google ก็เริ่มลดการใช้น้ำสะอาดลง แล้วเปลี่ยนมาใช้น้ำทะเลและน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดแล้วแทน ซึ่งคิดเป็น 25% ของการใช้นํ้าทั้งหมดใน Data Canter
อ้างอิง gstatic.com research.google sciencedirect.com news.slashdot.org aol.com sherwood.news query.prod.cms.rt.microsoft.com washingtonpost.com sdgmove.com semianalysis.com iea.blob.core.windows.net
ชมรายการ Digital Thailand ตอน “ Green AI คืออะไร? จะช่วยแก้ปัญหา AI ทำให้โลกร้อนขึ้นได้หรือไม่? ” ได้ที่รายการย้อนหลังตอนนี้เลย
ออกอากาศวันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568
ในรายการ Digital Thailand ทุกวันเสาร์ ทางช่อง 3 กด 33 เวลา 4.40-5.05 น.
ยังมีบทความที่น่าสนใจ
ชมเทคฯ สุดเจ๋ง ที่ Hong Kong Electronics Fair เที่ยวฮ่องกง ชมอ่าว Repulse Bay และวัดทินหัว
DeepSeek คืออะไร? AI จีนที่ไล่หลังสหรัฐฯ มาติดๆ
อย่าลืมกดติดตามอัปเดตข่าวสาร เทคนิคดีๆกันนะคะ Please follow us
Youtube it24hrs
Twitter it24hrs
Tiktok it24hrs
facebook it24hrs
ติดต่อโฆษณา [email protected] โทร 0802345023






