คำถามเครื่องใช้ไฟฟ้าที่หลาย ๆ คนยังสงสัย เพราะรอบตัวเรามีแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าเต็มไปหมด แล้วจะมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่อยากจ่ายค่าไฟเยอะ หรือกลัวเรื่องความปลอดภัย เคลียร์ปัญหาเหล่านี้กับ 7 คำถามเครื่องไฟฟ้าที่คุณต้องรู้
7 คำถามเครื่องใช้ไฟฟ้าที่คุณต้องรู้ วิธีประหยัดไฟและช่วยให้ปลอดภัย
ไม่ถอดปลั๊ก = กินไฟ?
เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ปิดแล้ว แต่ยังเสียบปลั๊กทิ้งไว้ กินไฟจริงไหม? ถึงจะปิดสวิตช์ไปแล้ว มันก็ไม่น่าจะใช้ไฟแล้วใช่ไหม? คำตอบก็คือ…ไม่ถอดปลั๊กเท่ากับกินไฟจริง? แต่ไม่ใช่ทุกเครื่องใช้ไฟฟ้า
ข้อมูลจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคบอกว่า สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟสูง ถึงจะปิดเครื่องแล้ว ก็ควรถอดปลั๊กด้วย เพราะถ้าเสียบปลั๊กทิ้งไว้ เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ก็จะดึงไฟไปใช้เรื่อยๆ ทำให้เปลืองไฟอยู่ดี ถึงจะเล็กน้อย แต่ช่วยกันประหยัดจะดีกว่า
ถ้าใช้ปลั๊กพ่วง แค่ปิดสวิตซ์ที่ปลั๊กพอมั้ย?
สำหรับปลั๊กพ่วงแค่ปิดสวิตซ์ก็เพียงพอแล้ว เพราะการปิดสวิตซ์ที่ปลั๊กพ่วงก็เหมือนกับเราถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นแล้ว แต่ต้องใช้ปลั๊กที่มีมาตรฐานด้วยนะ
เสียบต่อปลั๊กพ่วงเต็มทุกรูเลยได้หรือไม่?
เราสามารถเสียบต่อปลั๊กพ่วงให้เต็มทุกรูได้ไหม? คำถามอาจฟังดูตลก เพราะถ้ามันทำมา 4-5 รู ก็น่าจะต้องเสียบได้เต็มหมดทุกรูเลยไม่ใช่หรือ? แต่จริง ๆ คำตอบคือ…ขึ้นอยู่กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่นำมาต่อกับปลั๊กพวง
กระทรวงพลังงานเผยว่าทุกครั้งที่มีการใช้ไฟฟ้าจะทำให้เกิดความร้อน และความร้อนที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบกับสายไฟและเต้าเสียบ ดังนั้นการเสียบเครื่องใช้ไฟฟ้าจำนวนมากเกินไปกับปลั๊กพ่วง อาจทำให้เกิดความร้อนมากเกินไปจนทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราสามารถเสียบต่อปลั๊กพ่วงได้มากน้อยแค่ไหน? คำตอบก็คือ…เราต้องดูว่าปลั๊กพ่วงรับกระแสไฟฟ้าได้กี่วัตต์ ซึ่งเราสามารถดูได้ที่ฉลากของปลั๊กพวง เช่น ปลั๊กพ่วงรับการใช้กระแสไฟฟ้าได้สูงสุด 2,300 วัตต์ นั้นหมายความว่า เราสามารถเอาเครื่องใช้ไฟฟ้ามาเสียบปลั๊กพ่วงกี่ชี้นก็ได้ แต่กำลังไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านั้นรวมกันต้องไม่เกิน 2,300 วัตต์
ตัวอย่างเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เสียบกับปลั๊กพ่วงที่รับกระแสไฟฟ้าได้สูงสุด 2,300 วัตต์ได้
- ไดร์เป่าผมที่ใช้ไฟ 1,400 วัตต์
- ชาร์จคอมพิวเตอร์ที่ใช้ไฟ 230 วัตต์
- ชาร์จมือถือที่ใช้ไฟ 30 วัตต์
- เครื่องไล่ยุงที่ใช้ไฟ 5 วัตต์
- กำลังไฟฟ้าทั้งหมดคือ 1,665 วัตต์
ตัวอย่างเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เสียบกับปลั๊กพ่วงที่รับกระแสไฟฟ้าได้สูงสุด 2,300 วัตต์ไม่ได้
- ไดร์เป่าผมที่ใช้ไฟ 1,400 วัตต์ 2 อัน
- กำลังไฟฟ้าทั้งหมดคือ 2,800 วัตต์
หรือถ้ารู้สึกว่าต้องมาคำนวนแบบนี้มันยุ่งยากเกินไป ก็มีทริกง่ายๆ คืออย่าเสียบอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้กำลังไฟฟ้าเยอะๆ ที่ปลั้กพ่วงเดียวกัน ซึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้กำลังไฟฟ้ามากที่สุดมีดังนี้
จะเห็นว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้กำลังไฟฟ้าเยอะ ๆ จะต่อตรงกับไฟบ้าน เช่น เครื่องทำนํ้าอุ่น หรือแอร์ ขณะที่เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้กำลังไฟฟ้าเยอะ ๆ อื่น ๆ ที่ต้องระวังในการใช้ปลั๊กพ่วง ได้แก่ เครื่องซักผ้าแบบมีเครื่องอบ เตารีดไฟฟ้า หมอหุงข้าว เตาไฟฟ้า เครื่องดูดฝุ่น เครื่องปิ้งขนมปัง ไดร์เป่าผม และเตาไมโครเวฟค่ะ หากใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ พยายามอย่าเสียบที่ปลั้กพ่วงเดียวกัน เพราะมันอาจเกิดอันตรายได้
ซึ่งถ้าเราฝืนเสียบเครื่องใช้ไฟฟ้าเกินกว่ากำลังไฟฟ้าที่ปลั๊กพวงจะรับไหว ก็อาจทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้ แต่หากเราเสียบปลั๊กกับเต้าเสียบที่บ้านเลยจะปลอดภัยกว่า
เสียบปลั๊กพ่วงต่อกันไปยาว ๆ ได้ไหม?
เสียบปลั๊กพ่วงต่อกันไปยาว ๆ ได้หรือไม่? คำตอบคือ…ไม่ควรทำ เพราะมันจะทำให้เกิดความร้อน และอาจจะเกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้ เช่น เราต่อปลั๊กพวงที่มีหลายเต้าเสียบ นำมาเสียบต่อกัน 3 อันต่อกัน แล้วแต่ละอันเราก็เสียบเครื่องใช้ไฟฟ้า สมมุติว่าเครื่องใช้กระแสไฟฟ้าแต่ละเครื่องใช้ไฟฟ้า 2 แอมแปร์ ทำให้ปลั๊กพ่วง 1 อันจะต้องรับกระแสไฟฟ้า 8 แอมแปร์ แล้วพอพ่วงต่อกันไปอีก 3 ต่อ จะทำให้ปลั๊กพวงอันแรกสุดต้องรับกระแสไฟฟ้ามากถึง 24 แอมแปร์ ทั้ง ๆ ที่ปลั๊กพ่วงทั่ว ๆ ไปรับกระแสไฟฟ้าได้ฝแค่ 16 แอมแปร์เท่านั้น ซึ่งการที่ปลั๊กพ่วงรับกระแสไฟเกินแบบนี้จะทำให้เกิดความร้อน และอาจจะเกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้
เครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดใดกินไฟมากที่สุด?
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้เผยแพร่ข้อมูล 10 อันดับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่กินไฟมากที่สุด 10 อันดับ มีดังนี้
อันดับที่ 1 เครื่องทำน้ำอุ่นไฟฟ้า ที่กินไฟสุดๆถึง 3,500 – 8,000 วัตต์
อันดับที่ 2 เตารีดไฟฟ้า ทั้งแบบแห้ง แบบไอน้ำ กินไฟสูงถึง 1,000 – 2,600 วัตต์
อันดับที่ 3 ไดร์เป่าผมกินไฟอยู่ที่ 1,000 – 2,200 วัตต์
อันดับที่ 4 เตาไมโครเวฟ ขนาด 20 – 32 ลิตร กินไฟ 1,000 – 1,880 วัตต์
อันดับที่ 5 เครื่องปรับอากาศ ชนิด FIXED SPEED ขนาด 9,000 – 36,000 BTU/hr กินไฟอยู่ที่ 730 – 3,300 วัตต์
อันดับที่ 6 เครื่องปรับอากาศ ชนิด INVERTER ขนาด 9,000 – 36,000 BTU/hr กินไฟอยู่ที่ 455 – 3,300 วัตต์
อันดับที่ 7 คือเครื่องซักผ้า ทั้งแบบตั้ง และแบบถังนอน กินไฟอยู่ที่ 450 – 2,500 วัตต์
อันดับที่ 8 หม้อหุงข้าวไฟฟ้า ขนาด 1–3 ลิตร กินไฟอยู่ที่ 450–1,000 วัตต์
อันดับที่ 9 ตู้เย็น ที่มีขนาด 40 – 735 ลิตร กินไฟอยู่ที่ 70–145 วัตต์
อันดับที่ 10 ก็คือพัดลมไฟฟ้า ซึ่งถ้าขนาด 12 – 18 นิ้ว ก็จะกินไฟอยู่ที่ 35 – 80 วัตต์
ไมโครเวฟทำลายคุณค่าทางโภชนาการของอาหารหรือไม่?
ไมโครเวฟเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าประจำบ้านที่ทำให้เราอุ่นอาหารได้แสนสะดวก แต่การอุ่นอาหารด้วยไมโครเวฟทำลายโภชนาการของอาหารมากกว่าวิธีอื่น ๆ จริงหรือไม่? คำตอบคือ…ไม่จริง
ศาสตราจารย์ ดร. ภญ.จิรภรณ์ อังวิทยาธร ภาควิชาเภสัชเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า ไมโครเวฟจะทำให้อาหารร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว การอุ่นอาหารด้วยไมโครเวฟจึงทำลายวิตามินซี และสารอาหารอื่น ๆ ที่สลายตัวเมื่อโดนความร้อนน้อยกว่าวิธีการอุ่นอาหารแบบอื่น ๆ นอกจากนี้งานวิจัยในปี ค.ศ. 2019 พบว่าการต้มบรอกโคลีด้วยเตาไมโครเวฟเป็นเวลา 1 นาที ทำให้คุณค่าทางโภชนาการยังคงอยู่มากกว่าการต้มโดยวิธีอื่น หรือการนี่ง นอกจากนี้ผักโขม พริก ถั่วเขียว จะสูญเสียสารที่มีคุณค่าทางอาหารเพราะไมโครเวฟน้อยกว่าการทำให้ร้อนด้วยวิธีอื่น ๆ ด้วย
อุ่นอาหารด้วยไมโครเวฟทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง
แล้วกินอาหารเวฟบ่อยๆ ทำให้เราเป็นมะเร็งจริงเหรอ? แล้วแบบนี้เรากินรังสีจากไมโครเวฟหรือเปล่า? คำตอบคือ…คลื่นไมโครเวฟจากเตาไมโครเวฟไม่ทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง
จากการศึกษาของ Timothy Jorgensen จากศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัย Georgetown สหรัฐอเมริกา พบว่า รังสีไมโครเวฟก็จะไม่สะสมในอาหาร จึงไม่มีรังสีตกค้าง หรือปะปนมาในอาหาร และถึงเราโดนรังสีก็ไม่เป็นไร เพราะรังสีไมโครเวฟมีพลังงานไม่เพียงพอที่จะทำลายพันธะเคมีในสารอินทรีย์ต่าง ๆ จึงไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์หรือ DNA ไม่ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์และไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง
แต่อันตรายจากการอุ่นอาหารด้วยไมโครเวฟก็จะมาจากภาชนะที่เราใช้ตอนเอาเข้าไปเวฟเช่น กล่องข้าวพลาสติก ถุงแกง เนื่องจากมันจะมีสารตกค้างในอาหาร หรือภาชนะที่มีโลหะเช่น ถ้วยฟลอย์ห้ามเอาเข้าเวฟเด็ดขาด เพราะโลหะจะสะท้อนรังสี ทำให้เกิดประกายไฟ หรือไฟไหม้ได้
แต่บางครั้งเราอาจจะเห็นว่า กล่องพลาสติกบางอันก็เขียนว่าเอาเข้าเวฟได้ นั้นก็เพราะพลาสติกมีหลายประเภท ถ้ากล่องข้าวอันไหนที่เอาเข้าเวฟได้ จะเขียนระบุไว้ค่ะ หรือมีสัญลักษณ์แบบนี้ ซึ่งจะรวมถึงภาชนะแบบอื่นๆ ด้วยนะ
โดนไฟช็อตจากเฟอร์นิเจอร์ เพราะบ้านมีไฟรั่วจริงไหม?
บางครับที่เราสัมผัสเฟอร์นิเจอร์ หรือลูกบิดประตู แล้วเกิดไฟช็อต ทั้งๆ ที่ของเหล่านั้นไม่ใช่เครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะว่ามีไฟรั่วใช่หรือไม่? คำตอบคือ…ไม่ใช่ เพราะไฟช๊อตที่เราโดนนั้นคือไฟฟ้าสถิต
เว็บ scimath.org ได้อธิบายไว้ว่า ไฟฟ้าสถิต (Static electricity) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากความไม่สมดุลของปริมาณประจุไฟฟ้าขั้วบวกและขั้วลบภายในวัสดุหรือบนพื้นผิวของวัสดุ ซึ่งประจุไฟฟ้าเหล่านั้นจะยังคงอยู่จนกระทั่งเกิดการเคลื่อนที่หรือมีการถ่ายเทประจุ ซึ่งโดยปกติแล้วเนี่ย วัสดุทุกชนิดมีความเป็นกลางทางไฟฟ้า ปริมาณของประจุบวกและลบก็จะเท่ากัน แต่เมื่อเกิดการขัดถู สัมผัส หรือเสียดสี ประจุไฟฟ้าเหล่านี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น การที่เสื้อผ้าของเราถูกับผิวของเรา ก็จะทำให้ประจุถ่ายเทได้
เมื่อเราไปจับที่เฟอร์นิเจอร์ หรือลูกบิดประตู ประจุไฟฟ้านั้นก็จะถ่ายเทมายังร่างกายของเราจนเรารู้สึกว่าโดนช็อต แต่ไม่ต้องกลัวไป เพราะปริมาณกระแสไฟฟ้าจากไฟฟ้าสถิตแบบนี้ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต เพียงแค่ทำให้เราสะดุ้งเท่านั้น แล้วสงสัยมั้ยค่ะว่าไฟฟ้าสถิตแบบนี้ ทำไมเกิดขึ้นบ่อยในช่วงหน้าหนาว?
นั้นก็เพราะฤดูหนาวมีอากาศแห้ง ทำให้เกิดการสะสมของประจุไฟฟ้าในอากาศได้ง่ายกว่า และถ่ายเทประจุไฟฟ้าได้มากกว่าอากาศในช่วงฤดูอื่น
วิธีป้องกับการโดนช็อตจากไฟฟ้าสถิต
ถ้าใครไม่ชอบโดนไฟฟ้าสถิตช็อตก็สามารถป้องกันได้ดังนี้
- พยายามอย่าให้ผิวแห้ง ดื่มน้ำเยอะๆ หรือการทาโลชั่นป้องกันผิวแห้ง
- หาของมาถือ เวลาที่จะจับกับวัตถุที่มีโอกาสมีไฟฟ้าสถิต เช่น รถเข็นห้าง ก็ให้เราเอากุญแจ หรือเครื่องประดับ หรืออะไรก็ได้ไปแตะกับรถเข็นก่อน แล้วค่อยใช้มือไปสัมผัสโดยตรง
- หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าขนสัตว์ ผ้าใยสังเคราะห์ หรือโพลีเอสเตอร์ เพราะเสื้อผ้าประเภทเหล่านี้ทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตได้ง่ายเมื่อเสียดสีกับผิวของเรา แล้วใส่ผ้าฝ้ายจะดีกว่า
- ใส่รองเท้าพื้นยาง เพราะตัวยางจะช่วยลดทอนการไหลของประจุไฟฟ้าได้
- หาถุงเท้าผ้าฝ้ายมาใส่เวลาอยู่ในบ้าน เพราะถุงเท้าจะเป็นตัวกรองประจุไฟฟ้าอีกชั้น
- ปลูกต้นไม้ไว้ในห้อง และรดน้ำต้นไม้ให้ชุ่มชื่นอยู่เสมอ เพื่อช่วยลดอากาศแห้ง
ตู้เย็นยิ่งเย็น ยิ่งดี ยิ่งเก็บอาหารได้นาน จริงหรือไม่?
ถ้าตู้เย็นที่ยิ่งเย็นก็จะยิ่งเก็บอาหารได้นานจริงหรือไม่? คำตอบคือ…ไม่จริงเสมอไป มันมีรายละเอียด
เพราะอาหารแต่ละอย่างมีอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการเก็บรักษาที่ต่างกัน โดยเราสามารถเก็บรักษาความสดใหม่ได้นานขึ้นเมื่อเก็บในตู้เย็นที่อุณหภูมิที่เหมาะสม แล้วถ้าตั้งอุณหภูมิของตู้เย็นไว้ตํ่ามาก ๆ มันจะกินไฟเยอะตามไปด้วย ซึ่งการไฟฟ้านครหลวงก็มีเคล็ดลับการใช้ตู้เย็นให้ประหยัดไฟมาฝากดังนี้
- ติดตั้งในที่อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ควรอยู่ใกล้แหล่งความร้อน
- หมั่นตรวจสอบขอบยางตู้เย็นเป็นประจำ ไม่ให้ชำรุดรั่วซึม ความเย็นในตู้เย็นจะได้ไม่ไหลออกมาด้านนอก
- สำหรับตู้เย็นรุ่นเก่า ๆ หมั่นละลายน้ำแข็งสม่ำเสมอ
- จัดระเบียบอาหารและสิ่งของในตู้เย็น ไม่กักตุนจนแน่นเกินไป
- ปรับตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสมกับปริมาณของที่แช่ในตู้เย็น
- อย่าเปิด-ปิด บ่อย หรือเปิดทิ้งไว้นานเกินความจำเป็น
เท่านี้เราก็จะสามารถเก็บอาหารได้นานขึ้น แถมยังประหยัดไฟอีกด้วย
ชมรายการ Digital Thailand ตอน “ 7 คำถามเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ช่วยให้ประหยัดไฟและปลอดภัย ” ได้ที่รายการย้อนหลังตอนนี้เลย
https://it24hrs.com/2024/electrical-appliance-questions-save-money-be-safe/
ออกอากาศวันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2567
ในรายการ Digital Thailand ทุกวันเสาร์ ทางช่อง 3 กด 33 เวลา 4.40-5.05 น.
ยังมีบทความที่น่าสนใจ
พลังงานไฮโดรเจน (Hydrogen Energy) อีกหนึ่งพลังงานทดแทนเพื่อความยั่งยืน
คำถามยอดฮิตของรถยนต์ไฟฟ้า EV สถานีชาร์จพอหรือยัง ค่าภาษี ค่าประกัน รถ EV มือสอง
อย่าลืมกดติดตามอัปเดตข่าวสาร เทคนิคดีๆกันนะคะ Please follow us
Youtube it24hrs
Twitter it24hrs
Tiktok it24hrs
facebook it24hrs
ติดต่อโฆษณา [email protected] โทร 0802345023





